:: ชี้ศาลโลกตัดสิน    / วันที่ 22 เมษายน 2556
                                                                                                                                                                                                              พิมพ์หน้านี้
 

    ปิดฉากไปแล้วหลังฝ่ายไทยและกัมพูชาแถลงปิดคดีด้วยวาจานัดสุดท้าย ต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศหรือศาลโลก ในคดีที่กัมพูชายื่นฟ้องให้ตีความคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหาร ปี 2505 มหากาพย์เรื่องนี้ศาลโลกจะชี้ชะตาช่วงปลายปี 2556

ระหว่างการแถลงต่อสู้คดีนัดสุดท้าย “นายฮอร์ นัมฮง” รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.ต่างประเทศ หัวหน้าคณะดำเนินการทางกฎหมายต่อสู้คดีปราสาทพระวิหารของกัมพูชาพยายามชี้ให้ศาลโลกเห็นว่า ฝ่ายไทยทำให้เกิดความไขว้เขวต่ออธิปไตยเหนือปราสาท ไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลโลก รุกรานพื้นที่ชายแดน

ขณะที่คณะดำเนินการทางกฎหมายต่อสู้คดีปราสาทพระวิหารของไทย มีหัวหน้าคณะชื่อ “นายวีรชัย พลาศรัย” เอกอัครราชทูต ณ กรุงเฮก ประจำเนเธอร์แลนด์ กางยุทธศาสตร์ย้อนแย้ง ระบุว่าศาลโลกไม่มีอำนาจพิจารณาคดีและนำข้อมูลหักล้างข้อโต้แย้งฝ่ายกัมพูชาในทุกประเด็น

เสร็จสิ้นแถลงปิดคดีด้วยวาจา “นายปีเตอร์ ทอมกา” ประธานศาลโลก เป็นเจ้าภาพเลี้ยงคณะผู้แทนไทยและกัมพูชา ระหว่างงานเลี้ยง “นายฮอร์ นัมฮง” เดินเข้ามาทัก “นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล” รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.ต่างประเทศ หัวหน้าคณะทำงานต่อสู้คดีปราสาทพระวิหาร พลางยิ้มแย้มเอ่ยปากชื่นชมคณะดำเนินการทางกฎหมายต่อสู้คดีปราสาทพระวิหารของไทยว่า...

“...ไทยเตรียมตัวต่อสู้คดีได้ดีมาก แต่ไม่ว่าผลคดีจะออกมาอย่างไร ความสัมพันธ์ระหว่างกัมพูชากับไทยยังเหมือนเดิม จะต้องร่วมมือทางด้านความมั่นคง การค้าชายแดน ด้านเศรษฐกิจกันต่อไป”

ทิศทางคดีที่ศาลโลกจะชี้ขาดออกหัวหรือก้อย “นายสุรพงษ์” ที่นั่งใกล้กับ “นายวีรชัย” สอดประสานเติมเต็มกันในทุกประเด็นบอกกับ “ทีมข่าวการเมือง” ผ่านโทรศัพท์ทางไกลจากกรุงเฮก โดย “นายวีรชัย” บอกว่า การแถลงปิดคดีด้วยวาจาต่อศาลโลก ทั้งสองฝ่ายหยิบเอาสิ่งที่ฝ่ายตัวเองยื่นเป็นลายลักษณ์อักษรต่อศาลโลกขึ้นมาต่อสู้กัน

ฝ่ายกัมพูชาคงมองว่าคดีนี้ชนะแน่ จึงยื่นเอกสารหลักฐานน้อยมาก แต่เรายื่นเอกสารหลักฐานไว้ล่วงหน้าพันกว่าหน้า ข้อมูลที่ชี้แจงด้วยวาจารับประกันว่านำเสนอตรงตามข้อเท็จจริง มีหลักฐานหนักแน่น สามารถหักล้างข้อต่อสู้ของกัมพูชาได้ทุกประเด็น

อาทิ กัมพูชาพูดในประเด็นหลักเรื่องแผนที่ โดยพยายามเชื่อมโยงเหตุผลของคำพิพากษาปี 2505 กับแผนที่ 1 ต่อ 200,000 เพื่อลดความสำคัญของแผนที่อื่นๆ และยืนยันท่าทีเดิมว่าบริเวณใกล้เคียงปราสาทพระวิหารเป็นไปตามแผนที่ 1 ต่อ 200,000

ผมรับไม่ได้ถึงเหตุผลของกัมพูชาที่หยิบยกเรื่องนี้มาทำลายความน่าเชื่อถือของแผนที่ฉบับอื่นๆ เราก็ชี้ให้เห็นว่า ไทยยืนยันถึงความคงเส้นคงวาทั้งการปฏิบัติตามคำพิพากษาปี 2505 แต่กัมพูชากลับไม่มีความคงเส้นคงวา แม้แต่แผนที่ภาคผนวก 1 ของกัมพูชาปี 2505 ก็แตกต่างกับแผนที่ที่มายื่นต่อศาลในครั้งนี้

ปี 2505 กัมพูชาก็ยอมรับมติ ครม.ของไทย จากรั้วลวดหนามและป้าย แต่ตอนนี้กลับไม่ยอมรับ ในปี 2506 กัมพูชายอมรับว่าแค่พื้นที่ 2-3 เมตรไม่มีความสำคัญ แต่ตอนนี้กลับเรียกร้องพื้นที่ที่ใหญ่ขึ้น แสดงให้เห็นว่าการถ่ายทอดแผนที่ของกัมพูชาเป็นไปตามอำเภอใจ มีการอ้างแผนที่จนจำไม่ได้ ตีความเอง ปลอมแปลงแผนที่

มีอะไรแตกต่างกันบ้าง เมื่อเปรียบเทียบการทำงานในช่วงรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร “นายวีรชัย” ยอมรับว่า ไม่แตกต่างกัน ผมได้รับการสนับสนุนอย่างดีจากทั้ง 2 รัฐบาล แทบจะไม่มีรอยต่อ ทั้งเรื่องงบประมาณ พัสดุ และกำลังใจ

ขอขอบคุณทุกฝ่ายที่ช่วยกัน ทั้งฝ่ายความมั่นคง ทหาร ข้าราชการ และประชาชน ที่ให้ข้อมูล หากเรื่องนี้สำเร็จ ถือเป็นผลงานของพวกเราร่วมกัน

“ทีมข่าวการเมือง” ถามว่า แนวโน้มศาลตัดสินคดีจะออกมาอย่างไร “นายวีรชัย” บอกว่า ผมคงไม่ไปก้าวล่วงศาลจะตัดสินออกมาอย่างไร เราทำหน้าที่ดีที่สุดแล้ว ผลออกมาอย่างไรผมก็สบายใจ ระยะเวลาจากนี้ไปที่มองกันว่าศาลจะตัดสินหลังจากนี้ 6 เดือน ก็เป็นการคาดคะเน อาจใช้เวลามากกว่าหรือน้อยกว่าก็ได้ จะไปคาดเดาคงไม่ได้

ขณะที่ “นายสุรพงษ์” มองภาพรวมว่า ทีมทนายความของไทยเตรียมตัวมาดี และทำหน้าที่ได้ดีมาก โดยเฉพาะการพูดปิดคดีของท่านทูตวีรชัย พลาศรัย ชี้ให้เห็นว่ากัมพูชาเปลี่ยนแปลงการต่อสู้คดีตลอดเวลา และยืนยันต่อศาลว่ากัมพูชาไม่คงเส้นคงวา เชื่อมั่นว่าศาลเข้าใจในสิ่งที่เรานำเสนอ

แถมชี้ให้เห็นว่าไทยปฏิบัติตามคำสั่งของศาลทุกประการ และยกข้อมูลข้อ เท็จจริง โดย เฉพาะเรื่องการนำแผนที่ ที่เป็นไม้เด็ดของไทยมาใช้หักล้าง กัมพูชาได้เป็นอย่างดี

แต่ที่ผ่านมาฟังคนวิจารณ์การต่อสู้คดีของไทยแล้วมันอัดอั้นตันใจ แต่ข้อมูลบางอย่างไปพูดก่อนไม่ได้ ต้องเก็บเป็นความลับสุดยอด ไม่ให้ กัมพูชาได้ตั้งตัวติด หากพูดไปกัมพูชารู้ข้อมูลก่อน ไทยอาจเสียเปรียบได้ มาถึงวันนี้มันพิสูจน์ให้เห็นแล้ว เรายกข้อมูลข้อเท็จจริงและหักล้างในทุกประเด็นที่กัมพูชาหยิบยกขึ้นมา

อาทิ กรณีศาลไม่มีอำนาจพิจารณาคำร้องของกัมพูชา เพราะศาล ยุคนั้นเคยปฏิเสธมาแล้ว พร้อมชี้ให้ศาลเห็นว่ากัมพูชาพยายามขอให้ศาลตีความคำพิพากษาปี 2505 เราก็ชี้ให้ศาลเห็นว่าความจริงกัมพูชา ซ่อนการอุทธรณ์คดีเดิมไว้

กรณีพยายามนำเรื่องพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร (ตร.กม.) ยกขึ้นมาอ้างเป็นพื้นที่ของกัมพูชา ในจังหวะที่เอาปราสาทพระวิหารไปขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี 2550 เราก็แสดงให้ศาลเห็นว่าเรื่องที่กัมพูชานำขึ้นมาเรียกร้องสิทธิ์เป็นคดีใหม่ ไม่ใช่คดีปี 2505

และชี้ให้เห็นว่าไทยกับกัมพูชามีข้อตกลงหรือบันทึกความเข้าใจระหว่างกันปี 2543 (เอ็มโอยู 43) ที่จะเป็นเครื่องมือเจรจาเรื่องเขตแดนระหว่าง 2 ประเทศ ไม่จำเป็นต้องให้ศาลเอาเรื่องเก่ามาตัดสิน

กรณีที่กัมพูชายังพยายามชี้ให้ศาลเห็นว่า พื้นที่ใกล้เคียงปราสาทพระวิหารที่อยู่ในคำพิพากษาปี 2505 กับพื้นที่ 4.6 ตร.กม. ที่กัมพูชาเรียกร้อง ขณะนี้ไม่ใช่พื้นที่เดียวกัน เราก็ชี้ให้ศาลเห็นว่า ปี 2505 กัมพูชาไม่เคยนำหลักฐานใดๆมาใช้พิสูจน์ต่อศาลว่า พื้นที่ 4.6 ตร.กม. เป็นของ ตนเอง

และเมื่อปี 2505 พื้นที่ที่เป็นข้อพิพาทเพียงแค่ 0.35 ตร.กม.เท่านั้น ไม่ได้พูดถึงพื้นที่ 4.6 ตร.กม. สุดท้ายหัวหน้าทีมทนายท่านทูตวีรชัยสรุปและชี้ให้ศาลเห็นว่า ปัจจุบันความสัมพันธ์ไทยกับกัมพูชาดำเนินไปด้วยดี มีกลไกภายใต้เอ็มโอยู 43 ที่จะพูดคุยแก้ไขปัญหาพื้นที่ทับซ้อน

“ทีมข่าวการเมือง” ถามว่า การแถลงปิดคดีนัดสุดท้ายส่งสัญญาณเป็นบวกกับไทยอย่างไร “นายสุรพงษ์” บอกว่า “ก่อนสู้คดีผมบอกกับท่านทูตวีรชัยและทีมเราว่า ชกให้เต็มที่อย่าไปยั้ง ถ้าเรามีโอกาสน็อกต้องน็อก ความสัมพันธ์ของเราก็ว่ากันไป ความสัมพันธ์ของเรากับกัมพูชาดีมาก เมื่อขึ้นเวทีแล้วต้องต่อสู้เต็มที่

ท่านทูตถึงสบายใจ ทีมเราก็สบายใจ ได้หยิบประเด็นมาหักล้างเข้าฮอสหมด ดูรูปมวยแล้วเราค่อนข้างได้เปรียบ

เพราะทีมทนายทำงานได้ดีมาก ก่อนหน้านั้นที่เราจะมาชี้แจงต่อศาลโลก ทุกคนสบประมาท ถูกติติงตลอดว่าไทยสู้คดีไม่เต็มที่ ไปสนับสนุนกัมพูชา ฮั้วกับกัมพูชา ตอนนี้พิสูจน์ให้เห็นแล้ว”

มาถึงวันนี้ผมไม่เป็นห่วงกรณีมีกลุ่มมวลชนบางกลุ่มประท้วง เพื่อปลุกกระแสทำให้บานปลายกระทบต่อรัฐบาล เพราะเชื่อมั่น ว่าคนไทยที่รับฟังแถลงปิดคดีนี้เข้าใจเนื้อหาทั้งหมดแน่นอน

ก่อนหน้านี้เคยระบุว่าคดีนี้อย่างดีไทยก็เสมอตัว “นายสุรพงษ์” ชี้แจงว่า หมายถึงศาลยึดคำพิพากษาปี 2505 ที่ตีความเฉพาะตัวปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชา ไม่ควรตีความย้อนหลัง แต่กัมพูชากลับซ่อนประเด็นอยากได้พื้นที่มากขึ้น ดังนั้น ถ้าเสมอตัวแบบนี้ ถือว่าฝ่ายไทยได้รับ ชัยชนะ

ผลออกมาอย่างไรถึงจะให้วิน-วิน ชนะทั้งฝ่ายไทยและกัมพูชา “นายสุรพงษ์” บอกว่า ทีมทนายพยายามยืนยันว่าเส้นบริเวณที่ลากโดยมติ ครม.ปี 2505 เป็นเส้นที่เรารับได้ และกัมพูชาก็ยอมรับเส้นนี้แล้ว

เราอยากให้ออกมาเป็นลักษณะเดิม และการจะพูดคุยเรื่องเส้นเขตแดนอยากให้ยึดเอาเอ็มโอยู 43 ไปพูดคุยกัน

หลังจากผลคดีศาลพิพากษาออกมาอย่างไร ไทยและกัมพูชาจะต้องมาพัฒนาพื้นที่ที่มีปัญหาร่วมกัน เพื่อเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ที่จะนำรายได้เข้าสู่ทั้งสองฝั่งประเทศ

หวั่นไหวหรือไม่ศาลโลกจะชี้ขาดคดีนี้ปลายปี 2556 จะเกิดผลลบต่อประเทศไทย และจะมีปัญหาตามมา “นายสุรพงษ์” บอกว่า ผลออกมาอย่างไรไทยและกัมพูชาจะต้องอยู่ด้วยกันต่อไป เอาไว้ให้ผลคำพิพากษาออกมาก่อนแล้วค่อยมาว่ากัน อย่าให้พูดตอนนี้ ใครติดตามดูคำแถลงปิดคดีแล้วคิดอย่างไรก็เก็บไว้ในใจ

“อย่าไปหลงเชื่อการปลุกระดมที่ปราศจากเหตุผล เพราะไม่สามารถคาดเดาได้ว่า 17 ผู้พิพากษาศาลโลกที่นั่งอยู่บนบัลลังก์แต่ละท่านจะคิดอย่างไร แต่ผมมีความเชื่อมั่นว่าศาลโลกต้องให้ความยุติธรรม คงไม่ต้องการให้เกิดข้อขัดแย้งระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน

หวังว่าคำพิพากษาที่ออกมาน่าจะรับได้ทั้งสองฝ่าย”.

ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์
22 เมษายน 2556
http://www.thairath.co.th/column/pol/wikroh/340047
 





www.ipsr.mahidol.ac.th - Revised: 28 สิงหาคม 2552
Copyright ©สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ตำบลศาลายา อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม
73170  โทรศัพท์ 02-441-0201-4 โทรสาร 02-441-9333 Web master : prwww@mahidol.ac.th